Rave Master กับ Fairy Tail แฟนพันธ์แท้ห้ามพลาดกับข้อแตกต่างของการ์ตูนสองเรื่องนี้

Rave Master

แม้การ์ตูนอนิเมะเรื่อง Rave Master กับ Fairy Tail ของอาจารย์ฮิโระ มาชิมา จะจบลงไปแล้ว แต่ใครหลายคนก็ยังคงคิดถึงและรอคอยกับเรื่องใหม่ ๆ ของอาจารย์กันอยู่ ก่อนที่จะมีเรื่องใหม่ ๆ ของอาจารย์ออกมาเรามาคุยถึงสองเรื่องยาวของอาจารย์กันเสียหน่อยดีกว่า 5 ข้อแตกต่างระหว่างRave Masterกับ Fairy Tail แฟนพันธ์แท้ห้ามพลาด!

Rave Master

1. ชื่อของตัวเอก – ข้อแตกต่างระหว่างRave Masterกับ Fairy Tail ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือชื่อของตัวเอก ฮารุ จากเรื่องเรฟกับ นัตสึ จากเรื่องแฟรี่เทล ที่มีความเกี่ยวข้องกันเรื่องเวลาและคาแรคเตอร์ของทั้งคู่

โดย ฮารุ หมายถึงฤดูใบไม้ผลิ คาแรคเตอร์ของพรเอกจึงออกนอกสดใสแต่ยังคงมีมาดอยู่บ้าง ในขณะที่ นัตสึ ที่หมายถึงฤดูร้อน ทำให้พระเอกดูจะออกแนวบ้าบอ เลือดร้อนและไม่ค่อยคิดมากนั่นเอง

Rave Master ที่ตัวละครหลักจะออกแนวบ้าบอ

Rave Master

2. แนวในการดำเนินเรื่อง – ข้อแตกต่างระหว่างRave Masterกับ Fairy Tail เรื่องเรฟจะเน้นไปที่เรื่องราวการผจญภัยที่เดินทางกับกลุ่มเพื่อนไปเรื่อย ๆ ในขณะที่เรื่องแฟรี่เทลจะเน้นไปที่การทำภารกิจ เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นก็ย้อนกับมาที่กิล เป็นเสมือนบ้านพักของทุกคน

อนิเมะ

3. ตัวมาสคอตของเรื่อง – ข้อแตกต่างระหว่างRave Masterกับ Fairy Tail เรื่องเรฟจะมี พลู เป็นมาสคอตตัวเล็ก ๆ สีขาวมีจมูกเป็นเกลียว เอรี่นางเอกของเรื่องจะเรียกว่าเป็นน้องหมาอยู่เสมอ ในขณะที่เรื่องแฟรี่เทลจะมีแมวสีฟ้ามีปีกที่ชื่อว่าแฮปปี้เป็นมาสคอตของเรื่อง แต่บางทีพลูก็โผล่ไปอยู่ในเรื่องแฟรี่เทลเช่นกัน

อนิเมะ

4. ประเด็นความสัมพันธ์ – ข้อแตกต่างระหว่างRave Masterกับ Fairy Tail ในเรื่องเรฟจะเน้นไปถึงความสัมพันธ์ของคนรักในแต่ละคู่มากกว่า ให้ความรู้สึกคล้ายการ์ตูนรักโรแมนติก ในขณะที่เรื่องแฟรี่เทลเน้นไปที่ความรักแบบครอบครัว จึงไม่ค่อยมีความหวานหรือเขินอายให้เห็นกันบ่อยนัก ออกไปในแนวตลก ๆ มากกว่า

Rave Master

5. ความเข้มข้นของเนื้อหา ความยาวของเรื่อง – ข้อแตกต่างระหว่างRave Masterกับ Fairy Tail เรฟเป็นการ์ตูนที่มีทั้งหมด 35 เล่มจบ ในขณะที่แฟรี่เทลเป็นการ์ตูนยาวเช่นกันแต่มีความยาวทั้งหมด 63 เล่มจบ ทว่าเนื้อหาของเรฟจะมีความเข้มข้นและเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่า

ในขณะที่แฟรี่เทลเนื้อเรื่องจะดำเนินไปแบบสบาย ๆ จบภารกิจเป็นตอน ๆ ไป ถึงอ่านข้ามตอนก็ยังพอจะปะติดปะต่อเรื่องได้นั่นเอง ซึ่งเหมาะกับคนที่ชอบเรื่องแนวสบาย ๆ ไม่ค่อยมีประเด็นเครียดมากนั่นเอง (แต่ก็มีปมของแต่ละคนอยู่เหมือนกันแต่เฉลยเร็วเลยไม่ค่อยค้างคา)